แนวทางของการศึกษาทางเศษรฐศาสตร์นั้นสามารถที่จะแบ่งแนวทางได้ 2 แนวทางใหญ่ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความจำเป็นมากเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยที่เราจำเป็นที่จะใช้จ่ายในการต้องการสินค้าและบริการเราต้องการทราวความพอใจที่ราคาต่ำสุด หลักการดังการเป็นการใช้กลัดของทางเศรษฐศาสตณืในการเข้าช่วยในการตัดสินใจ รายได้ที่ได้รับมาเท่านั้นเท่านี้ทำอย่างไรจึงจะพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการอยู่การกินทั่วๆไปการศึกษาจึงสามารถที่จะทำได้ปหลากหลายอาจจะระบุตามตรงให้ได้เลยนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ลักษณะพฤติกรรมของคนและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมีความแตกต่างไปจากวิทยาศสตร์ที่สามารถทดลองออกมาได้อย่างเที่ยงตรง ทางนักเศรษฐศาสตร์เองนั้นจึงได้หาแนวทางในการศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยหลักใช้ทางคือ วิธีอนุมาน และวิธีอุปมาน ในการสร้างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ขึ้นวิธีอนุมาน เป็นการทฤษฎีโดยการเริ่มต้นจากการสร้างข้อเท็จจริงและหากลัดเหตุผลจนสามารถที่จะสรุปมาได้ โดยเริ่มจากการศึกษาการใช้เหตุผลพิจารณาเรื่องราวที่จะต้องศึกษา และตั้งสมมติฐาน…
สำหรับแขนงของวิชาเศรษฐศาสตร์ได้บางตามหน่วยของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถที่จะครอบคลุมทั้งระดับเล็กสุดของตัวบุคคลและระดับประเทศชาติ ซึ่งการศึกษาและการแก้ไขปัญหามีความแตกต่างกัน คนที่จะศึกษาเศรษฐศาสตร์นั้นจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นเรื่องของบุคคลก็จะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของตัวเอง รายจ่ายที่ใช้ชีวิตประจำวัน การแลกเปลี่ยนและอื่นๆ สำหรับเรื่องในระดับประเทศเกี่ยวกับการเก็บภาษี การค้าระหว่างประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงมีการแบ่งออกเป็นสองแขนงได้แก่1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro Economics) สำหรับการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้นเป็นการศึกษาตั้งแต่ในระดับตัวบุคคลเป็นหน่วยย่อย รวมไปถึงการศึกษาพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มและละบุคคลในการบริโภคในการซื้อของแต่ละชนิด สามารถที่จะราคาสินค้าและปัจจัยการผลิตในการดำเนินการของตลาดของผู้ผลิต การกำหนดปัจจัยการผลิต ปริมาณการผลิต กำหนดราคาและกลไกลของการตลาดต่างๆได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการศึกษาที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราด้วย2. เศรษฐศาสตร์มหาภาค (Macro Economics) เป็นการศึกษาในด้านส่วนรวมของประเทศส่วนใหญ่ …
ในการดำเนินชีวิตในประจำวันนั้นมีการใช้ชีวิตที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่พื้นฐานของเรา อารใช้ปัจจัยสี่ในการใช้ชีวิต โดยเฉพราะการใช้จ่ายอย่างไรให้เพียงพอและสามารถเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสำหรับคนที่ใช้จ่ายอย่างไร ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางผู้ผลิตจึ้งต้องทราบก่อนที่จะผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด ซึ่งทราบกันดีว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัดอย่างไรจึงทำให้เกิดวิชาศึกษาเศรษฐศาสตร์ขั้นมา และปัญหาพื้นทางเศษฐกิจนั้น แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านจุลภคและด้านมหาภาค1. ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค ได้แก่– จะผลิตอะไร จะผลิตอะไรบ้างให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัรดแต่มีวัตถุดิบที่ใช้ผลิตมีจำกัด– ผลิตอย่างไร จะผลิตอย่างไรให้ได้ต้นทุกที่ต่ำที่สุดให้ได้ปริมาณที่มากที่สุด สินเปลืองค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด จะผลิตอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ– จะผลิตเพื่อใคร…
อุปสงค์ คือ การเสนอเลือกซื้อสินค้าในปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการ ในราคาต่างๆ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง มีความต้องการจงใจที่จะซื้อ และความสามารถที่จะซื้อในช่วงเวลานั้นดังนั้นแล้วจึงเป็นความต้องการที่สามารถ ซื้อได้จริงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะต้องมีความต้องอย่างและมีเงินที่จะจ่ายได้ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์การที่ผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในชระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง จะมีมากน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ราคาสินค้าชนิดนั้นระดับรายได้ของผู้บริโภคราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อรสนิยของผู้บริโภคจำนวนประชากรการโฆษณาช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล เป็นต้น สำหรับปัจจัยดังกล่าวสามารถที่จะอธิบายได้ดังนี้ราคาสินค้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อผู้บริโภค เนื่องจากต้องการใช้สินค้าทำให้เกิดความพึ่งพอใจสูงสุด ดังนั้นหากราคาสินค้ามีราคาเพิ่มขึ้น ก็จะซื้อสินค้าชนิดนั้นน้อยลง แต่ถ้าการาคาสินค้านั้นลดลงก็จะทำให้มีการซื้อสินค้าชนิดนั้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นๆ …
สำหรับในวิชาเศรษฐศาสตรแล้วนั้นคงต้องมีความควบคู่กับระหว่างอุปสงค์และอุปทานเสมอ ดังนั้นแล้ว อุปทานก็คือ ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ขายต้องการเสนอขาย ในระดับราคาต่างๆ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ ก็คือความต้องการขายหรือทางเสนอขายของผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการนั้นเองปัจจัยที่กำหนดอุปทาน1. ราคาสินค้าสินนั้น (Px)2. ราคาปัจจัยการผลิต(Py)3. ต้นทุนการผลิต (C)4. เทคโนโลยีการผลิต (T) ราคาสินค้าชนิดนั้น หากราคาสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าชนิดนั้นมีความต้องการขายสินค้ามากขึ้นด้วย และหากสินค้าชนิดนั้นลดลงผู้ขายต้องการที่จะขายสินค้าชนิดนั้นลดลงเช่นกัน สรุปคือไปตามขนาดกับราคาสินค้านั้นเองราคาปัจจัยการผลิต มีทิศทางตรงกันข้ามนั้นก็คือถ้าปัจจัยการผลิตสินค้ามีมากขึ้นหรือว่าราคาสูงขั้นก็จะทำให้มีความต้องการสินค้านั้นลดลงเพราะว่าจะทำให้ผู้ผลิตนั้นมีกำไรลดลงแต่หากปัจจัยการผลิตสินค้าลดลงก็จะทำให้ความต้องการขายสินค้าเพิ่มากขึ้นด้วยต้นทุนการผลิต สำหรับต้นทุนการผลิตหากต้นทุการผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีความต้องการขายสินค้าลดลงและหากต้นทุนการผลิตต่ำลงเทคโนโลยีการผลิต การที่นำเทคโนโลยีการผลิตนำมาใช้นั้นช่วยให้การผลิตนั้นมีประสิทธิภาพ หากเราได้นำเครื่องไม้เครื่องมือหรือว่าอุปกรณืที่เป็นเทคโนโลยีขั้ยสูงเข้ามาใช้ในการผลิตนั้นก็จะทำให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นและยังทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงความต้องการขายสินค้าจะเพิ่มมากขึ้นด้วยนอกจากนั้นยังมีปัจจัยการผลิตอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือว่านโยบาลของทางรัฐบาล และเกิดเรื่องของการเมือง การเปิดเหตุอื่นๆที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ซึ่งจะมีผลทำให้เปิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอุปทานได้สมการอุปทาน (Supply Equation)เมื่ออุปทานเป็นการแสงความต้องการของผู้ผลิตจึงมีความสัมพันธ์กับปัจจัยการผลิตโดยสามารถที่จะเขียนได้ดังนี้Qx…
หน่วยของเศรฐกิจนั้นมีหน้าที่สำคัญให้ระบบของเศษรฐกินเคลื่อนที่ไปในเทศทางที่ควร โดยจะมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีหน้าที่ในการซื้อสินค้าและบริการแลผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการ ซึ่งบางระบบอาจจะต้องมีรัฐเข้ามาดูแลและควบคุมเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค โดยหน่วยต่างแของเศรษฐกิจจะมีดังต่อไปนี้หน่วยของครัวเรือน : เป็นหน่วยของธุรกิจที่มีขนาดเล็ก ทำหน้าที่ในการใช้บริการและบริโภคเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตด้วยหน่วยธุรกิจ : เป็นหน่วยที่รวบรวมและนพปัจจุบัยการผลิตทั้งหมดมาประกอบการผลิตสินค้าและบริการขึ้นมา อาจจะอยู่ในรูปแบบโรงงาน บริษัท หรืออื่นๆหน่วยรัฐบาล : มีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย และจัดสรรค์ควบคุมทรัพยากรให้เหมาะสมสำหรับประเทศ นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีหน้าในการจับเก็บภาษีเป็นเจ้าของกิจการเอง และได้ลงทุนเองจึงสามารถที่จะเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค จะเห็นได้จากตัวอย่างดังภาพ จากรูปอธิบายได้ว่า หน่วยของครัวเรือนนั้นได้ทำการป้อนปัจัยการผลิตไปแล้วจะได้รับค่าตอบตอนในรูปแบบต่างอย่างเช่น ขายวัตถุดิบ ขายแรงงานก็จะได้รับเป็นค่าตอบแทน หน่วยธุรกิจจึงสามารถที่จะรวมปัจจัยการผลิตให้อยู่ในรูปแบบสินค้าและบริการ และเมื่อได้สินค้าและบริการก็จะป้อนให้กับหน่วยครัวเรือน ก็จะได้รับค่าตอบแทนกลับมา…
การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือว่าแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้การทำหน้าที่ของหน่วยเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ของส่วนรวม อย่างไรก็ตามประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้อมีระเบียบกฏเกณฑ์ดังกล่าวเหมือนกันนั้นหมายถึงว่ามีระบบเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยทั่วไปตามระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเทศใหญ่ๆ ดังนี้ 1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capialist Economic System) ระบบเศรษฐกิจแบบนี้บางครั้งเรียกว่า ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม …
ในระบบเศรษฐกิจนั้นมีความการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันในเรื่องของผู้ที่มีอำนาจในการจัดการ และเป็นเจ้าของทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต จึงทำให้การแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันดังนี้1. การแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เนื่องจากระบบเศรษฐกิจนี้ส่วนใหญ่เอกชนมีเสรีภาพและกรรมสิทธ์ในการบริหารจัดการทรัพยากร โดยอาศัยระบบตลาดหรือกลไกของราคาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 การตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร เป็นบทบาทหน้าที่ของเอกชนหรือหน่วยธุรกิจที่จะตัดสินใจผลิตสินค้าหรือบริการชนิดใดๆ ที่ทำให้เขาได้กำไรสูงสุด ซึ่งอาศัยกลไกของตลาดที่ประกอบด้วยผู้บริโภค พร้อมทั้งคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตและสักยภาพของผู้ผลิตในการผลิตสินค้านั้น สิ่งที่ชี้บอกให้หน่วยธุรกิจตัดสินใจได้ก็คือ ราคาสินค้า เพราะว่าราคาเป็นสิ่งที่ส่งสัญญาณความต้องการของผู้บริโภคว่าต้องการสินค้านั้นมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันเป็นตัวชี้ขอกให้ผู้ผลิตตัดสินใจได้ว่าควรผลิตมากน้อยเพียงใด โดยนำข้อมูลที่เกี่ยวกับต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบกับราคาเพื่อประกอบในการตัดสินใจได้ว่าควรผลิตสินค้าใด มากน้อยเพียงใด จึงจะทำให้ตนเองได้กำไร1.2…