แนวทางของการศึกษาทางเศษรฐศาสตร์นั้นสามารถที่จะแบ่งแนวทางได้ 2 แนวทางใหญ่ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความจำเป็นมากเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยที่เราจำเป็นที่จะใช้จ่ายในการต้องการสินค้าและบริการเราต้องการทราวความพอใจที่ราคาต่ำสุด หลักการดังการเป็นการใช้กลัดของทางเศรษฐศาสตณืในการเข้าช่วยในการตัดสินใจ รายได้ที่ได้รับมาเท่านั้นเท่านี้ทำอย่างไรจึงจะพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการอยู่การกินทั่วๆไป
การศึกษาจึงสามารถที่จะทำได้ปหลากหลายอาจจะระบุตามตรงให้ได้เลยนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ลักษณะพฤติกรรมของคนและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมีความแตกต่างไปจากวิทยาศสตร์ที่สามารถทดลองออกมาได้อย่างเที่ยงตรง ทางนักเศรษฐศาสตร์เองนั้นจึงได้หาแนวทางในการศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยหลักใช้ทางคือ วิธีอนุมาน และวิธีอุปมาน ในการสร้างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ขึ้น
วิธีอนุมาน เป็นการทฤษฎีโดยการเริ่มต้นจากการสร้างข้อเท็จจริงและหากลัดเหตุผลจนสามารถที่จะสรุปมาได้ โดยเริ่มจากการศึกษาการใช้เหตุผลพิจารณาเรื่องราวที่จะต้องศึกษา และตั้งสมมติฐาน ขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงพิจาณาหลักฐาน หรือข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาประกอบเพื่อนำไปสรุปสมมติฐาน และตั้งเป็นกฎหรือทฤษฎี วิธีการอนุมานเป็นการศึกษากาข้อมูล ข้อเท็จจริงมาช่วยเสริมกฎหรือทฤษฎีในภายหลังการสร้างกฎหรือทฤษฎีในทางเศรษฐศาสตร์โดยวิธีการอนุมานนี้มีขั้นตอนด้วยกันอยู่ 3 ขั้นตอนกล่าวคือ
1. การตั้งสมมติฐาน เช่นในเรื่องของการกำหนดรายได้ประเทศ ก็อาจจะตั้งสมมติฐานในระบบเศรษฐกิจ ก่อนการวิเคราะห์และหลังไปตามสมมติฐานนั้นๆ ดังนั้นประเด็นทฤษฎีจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ นำไปพยากรณ์เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้ดีแค่ไหน จึงขั้นอยู่กับสมมติฐานที่กำหนดมีความสอดคล้องกับปัญหามากน้อยแค่ไหน และสมมติฐานที่กำหนดขึ้นมีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงมากน้อยแค่ไหนอีกประการหนึ่ง
2. การวิเคราะห์โดยกระบวนการของเหตุผลและการให้คำอธิบายเบื้องต้น เป็นการกำหนดความสัมพันธ์ของตัวแปร และอธิบายลักษณะความสัมพันธ์นั้นๆ โดยใช้เหตุผลทางตรรกศาสตร์?
3. การทดสอบหาข้อสรุป เมื่อผลการทดสอบออกมาสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริง ก็เป็นข้อสรุปที่สามารถตั้งเป็นทฤษฎีได้ แต่หากผลที่ได้ไม่สอดคล้องหรือไม่สามารถอธิบายได้ ก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่
วิธีอุปมาน เป็นวิธีการศึกษาเหตุจากการศึกษาที่ตรงข้ามกับวิธีอนุมาน กล่าวคือ ก่อนที่จะตั้งเป็นกฎหรือทฤษฎีขั้นมาจะต้องรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นระบบเสียก่อน แล้วจึงนำเอาข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์หรือประมวลผลเพื่อที่จะสรุปเป็นขั้นตอนต่อไป หรือกล่าวได้ว่าการศึกษาโดยวิธีอุปมานดังกล่าวเป็นการสรุปจากความจริงในส่วนย่อยหรือเป็นการสืบหาข้อเท็จจริงเสียก่อนแล้วจึงตั้งเป็นกฎหรือทฤษฎีขึ้นมา สามารถที่จะแบ่งออกได้ 3 ขั้นตอนต่อไปนี้
– เก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อเท็จจริงในเรื่องที่เราจะศึกษา
– การหาข้อสรุปจากข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่างๆ โดยการวิเคราะห์หรือประมวลผล โดยใช้วิธีการทางสถิติ คณิตศาสตร์ หรือเศรษฐมิติ แล้วจึงสรุปเป็นกฎหรือทฤษฎี
– การทดสอบความถูกต้องของกฎหรือทฤษฎี โดยใช้วิธีการเช่นเดียวกับการทดสอบในวิธีอนุมาน
สำหรับการสร้างกฎหรือว่าทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์นั้นมีการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุดซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆ หรือว่าในบางครั้งอาจจะต้องทั้งสองวิธีร่วมกันก็ได้
กิจการได้ดำเนินงานต่างๆ ผลของการดำเนินการจะดูที่งบกำไรขากทุน และฐานะทางการเงินก็จะดูได้จากงบแดงฐานะการเงินซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่กิจการต้องมี การที่เราจะรับรู้ได้นั้นจะต้องนำรายการมาผ่านกระบวนการทางบัญชี เพื่อให้ได้รายงานทางการเงินเป็นบทสรุป ดังนั้นแล้วเราจะเป็นที่จะต้องกำหนดระยะเวลาในการสรุปในรอบเวลานั้นเรียกว่า “งวดบัญชี” เพื่อให้การดำเนินงานของกิจการได้สรุปผลออกมาและนำข้อมูลที่ได้จากรายงานทางการเงินกำหนดการบริหารในอนาคต รวมถึงการคิดค่าภาษีเงินได้ที่ต้องชำระอีกด้วย แต่มีบางรายการที่ได้เงินหรือค้างชำระตามงวดนั้นไม่ได้เป็นจริงตามระยะเวลาของงวด ซึ่งในเกณฑ์คงค้างจะต้องทำการปรับปรุงเมื่อสินงวดการปรับปรุงรายการบัญชี จะใช้ในกิจการที่ใช้เกณฑ์คงค้าง โดยการนำงบทดลองที่ได้จากการปิดบัญชีแล้วนั้นเรียกว่างบทดลองก่อนปรับปรุง หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงบางรายการที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาในงวดบัญชี เราต้องมีการปรับปรุงให้คำนึงถึงระยะเวลาไม่ต้องใช้เงินสดแต่มีความแน่นอนว่ารายการจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต รายการปรับปรุงจะต้องทำทุกสิ้นงวด หลังจากปรังปรังแล้วจะกลายเป็นงบทดลองหลังปรับปรุงก่อนที่จะไปแสดงในยอดงบกำหรขากทุนและงบแสดงฐานะทางการเงิน ซึ่งจะทำในกระดาษทำการ…
สำหรับแขนงของวิชาเศรษฐศาสตร์ได้บางตามหน่วยของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถที่จะครอบคลุมทั้งระดับเล็กสุดของตัวบุคคลและระดับประเทศชาติ ซึ่งการศึกษาและการแก้ไขปัญหามีความแตกต่างกัน คนที่จะศึกษาเศรษฐศาสตร์นั้นจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นเรื่องของบุคคลก็จะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของตัวเอง รายจ่ายที่ใช้ชีวิตประจำวัน การแลกเปลี่ยนและอื่นๆ สำหรับเรื่องในระดับประเทศเกี่ยวกับการเก็บภาษี การค้าระหว่างประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงมีการแบ่งออกเป็นสองแขนงได้แก่1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro Economics) สำหรับการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้นเป็นการศึกษาตั้งแต่ในระดับตัวบุคคลเป็นหน่วยย่อย รวมไปถึงการศึกษาพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มและละบุคคลในการบริโภคในการซื้อของแต่ละชนิด สามารถที่จะราคาสินค้าและปัจจัยการผลิตในการดำเนินการของตลาดของผู้ผลิต การกำหนดปัจจัยการผลิต …
ในการดำเนินชีวิตในประจำวันนั้นมีการใช้ชีวิตที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่พื้นฐานของเรา อารใช้ปัจจัยสี่ในการใช้ชีวิต โดยเฉพราะการใช้จ่ายอย่างไรให้เพียงพอและสามารถเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสำหรับคนที่ใช้จ่ายอย่างไร ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางผู้ผลิตจึ้งต้องทราบก่อนที่จะผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด ซึ่งทราบกันดีว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัดอย่างไรจึงทำให้เกิดวิชาศึกษาเศรษฐศาสตร์ขั้นมา และปัญหาพื้นทางเศษฐกิจนั้น แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านจุลภคและด้านมหาภาค1. ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค ได้แก่– จะผลิตอะไร จะผลิตอะไรบ้างให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัรดแต่มีวัตถุดิบที่ใช้ผลิตมีจำกัด–…
อุปสงค์ คือ การเสนอเลือกซื้อสินค้าในปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการ ในราคาต่างๆ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง มีความต้องการจงใจที่จะซื้อ และความสามารถที่จะซื้อในช่วงเวลานั้นดังนั้นแล้วจึงเป็นความต้องการที่สามารถ ซื้อได้จริงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะต้องมีความต้องอย่างและมีเงินที่จะจ่ายได้ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์การที่ผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในชระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง จะมีมากน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ราคาสินค้าชนิดนั้นระดับรายได้ของผู้บริโภคราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อรสนิยของผู้บริโภคจำนวนประชากรการโฆษณาช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล เป็นต้น สำหรับปัจจัยดังกล่าวสามารถที่จะอธิบายได้ดังนี้ราคาสินค้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อผู้บริโภค …
สำหรับในวิชาเศรษฐศาสตรแล้วนั้นคงต้องมีความควบคู่กับระหว่างอุปสงค์และอุปทานเสมอ ดังนั้นแล้ว อุปทานก็คือ ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ขายต้องการเสนอขาย ในระดับราคาต่างๆ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ ก็คือความต้องการขายหรือทางเสนอขายของผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการนั้นเองปัจจัยที่กำหนดอุปทาน1. ราคาสินค้าสินนั้น (Px)2. ราคาปัจจัยการผลิต(Py)3. ต้นทุนการผลิต (C)4. เทคโนโลยีการผลิต (T) ราคาสินค้าชนิดนั้น หากราคาสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าชนิดนั้นมีความต้องการขายสินค้ามากขึ้นด้วย และหากสินค้าชนิดนั้นลดลงผู้ขายต้องการที่จะขายสินค้าชนิดนั้นลดลงเช่นกัน สรุปคือไปตามขนาดกับราคาสินค้านั้นเองราคาปัจจัยการผลิต มีทิศทางตรงกันข้ามนั้นก็คือถ้าปัจจัยการผลิตสินค้ามีมากขึ้นหรือว่าราคาสูงขั้นก็จะทำให้มีความต้องการสินค้านั้นลดลงเพราะว่าจะทำให้ผู้ผลิตนั้นมีกำไรลดลงแต่หากปัจจัยการผลิตสินค้าลดลงก็จะทำให้ความต้องการขายสินค้าเพิ่มากขึ้นด้วยต้นทุนการผลิต สำหรับต้นทุนการผลิตหากต้นทุการผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีความต้องการขายสินค้าลดลงและหากต้นทุนการผลิตต่ำลงเทคโนโลยีการผลิต …
หน่วยของเศรฐกิจนั้นมีหน้าที่สำคัญให้ระบบของเศษรฐกินเคลื่อนที่ไปในเทศทางที่ควร โดยจะมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีหน้าที่ในการซื้อสินค้าและบริการแลผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการ ซึ่งบางระบบอาจจะต้องมีรัฐเข้ามาดูแลและควบคุมเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค โดยหน่วยต่างแของเศรษฐกิจจะมีดังต่อไปนี้หน่วยของครัวเรือน : เป็นหน่วยของธุรกิจที่มีขนาดเล็ก ทำหน้าที่ในการใช้บริการและบริโภคเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตด้วยหน่วยธุรกิจ : เป็นหน่วยที่รวบรวมและนพปัจจุบัยการผลิตทั้งหมดมาประกอบการผลิตสินค้าและบริการขึ้นมา อาจจะอยู่ในรูปแบบโรงงาน บริษัท หรืออื่นๆหน่วยรัฐบาล : มีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย และจัดสรรค์ควบคุมทรัพยากรให้เหมาะสมสำหรับประเทศ นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีหน้าในการจับเก็บภาษีเป็นเจ้าของกิจการเอง และได้ลงทุนเองจึงสามารถที่จะเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค จะเห็นได้จากตัวอย่างดังภาพ จากรูปอธิบายได้ว่า หน่วยของครัวเรือนนั้นได้ทำการป้อนปัจัยการผลิตไปแล้วจะได้รับค่าตอบตอนในรูปแบบต่างอย่างเช่น …