การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือว่าแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้การทำหน้าที่ของหน่วยเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ของส่วนรวม อย่างไรก็ตามประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้อมีระเบียบกฏเกณฑ์ดังกล่าวเหมือนกันนั้นหมายถึงว่ามีระบบเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยทั่วไปตามระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเทศใหญ่ๆ ดังนี้
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capialist Economic System) ระบบเศรษฐกิจแบบนี้บางครั้งเรียกว่า ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ระบบนี้มีลักษณะสำคัญคือเอกชนมีกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินและปัจจัยการผลิต มีเสรีภาพในการเลือกดำเนินการทางเศรษฐกิจตาใจชอบ โดยอาศัยกลไลของราคา โดยรัฐบาลจะไม่เข้าแทรกแซงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจชองเอกชน เช่น การไม่ควบคุมการผลิตการกำหนดราคาและการจำหน่ายสินค้า แต่จะดำเนินกิจการบางอย่างที่จำเป็นซึ่งเอกชนไม่สามารถที่จะทำได้ เช่นกิจการสาธารณูปโภค ระบบเศรษฐกิจแบบนี้จึงมีข้อดีในแง่ที่ทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะการที่เอกชนมีเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะแสวงหากำไรสูงสุด โดยเลือกผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด นอกจากนี้การเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทำให้ผู้ผลิตต้องการกำไร โดยพยายามปรับปรุงเทคนิคการผลิตตลอดเวลาเพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งมีผลให้ราคาสินค้าต่ำลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดผลดีแก่ระบบเศรษฐกิจในด้านการประหยักทรัพยากรและเกิดความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อีกประการหนึ่ง หารที่บุคคลมีสิทธิเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตของตนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดนั้นคือ ทำให้คนมีรายได้สูง จึงมีผลให้ประเทศมีรายได้ประชาชาสูงตามไปด้วย และนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบนี้คือ บุคคลในสังคมมีแนวโน้มไปในการมุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางด้านวัตถุไม่คำนึงถึงศีลธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เนื่องจากทุกคนมีเสรีภาพมาก นอกจากนี้การใช้ระบบเศรษฐกิจนี้ในประเทศที่ไม่มีความพร้อมโดยเพราะทางด้านการเมือง จะทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยมีอำนาจทางการเมืองแทรกแซงจนทำให้บุคคลบางกลุ่มได้เปรียบกว่าบุคคลอื่นในการแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้นการผลิตในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจึงมีโอกาสมากที่จะเกิดผูกขาด และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้
2. ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม (Socialist Economic System) ระบบเศรษฐกิจนี้มีลักษณะที่สำคัญคือ มุ่งให้ชุมชนหรือสังคมส่วนรวมเป็นผู้ควบคุมการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้วางแผลและกำหนดกิจกรรมดั้งกล่าว ดังนั้นเอกชนจึงไม่มีเสรีภาพที่จะทำกิจกรรมใดๆ ในทางเศรษฐกิจ และนอกจากนั้นรัฐบาลจะถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ ในขณะที่เอกชนได้รับผลตอบแทนเพียงแต่ปัจจัยการดำรงชีพเท่านั้น จึงทำให้ประชาชนขาดแรงจูงใจที่จะทำงาน มีผลให้ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการวางแผลในเรื่องกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาจากส่วนกลางคือ รัฐบาลย่อมทำให้ประชาชนทุกคนมีงานทำรายได้เสมอภาคกัน ซึ่งระบบเป็นข้อดีแบบนี้ อย่างไรก็ตามถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ความสามารถจะทำให้การวางแผลเรื่องเศรษฐกิจผิดพลาดได้ แล้วทำให้เกิดความเสียหายของทรัพยากรส่วนรวม ในขณะที่ภาคเอกชนขาดเสรีภาพในการผลิต และการบริโภค ซึ่งเป็นข้อที่เกิดขึ้นได้ในระบบเศรษฐกิจนี้
ในปัจจุบันกล่าวได้ว่า ไม่มีประเทศใดที่ใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมหรือว่าสังคมนิยมอย่างสมบูรณ์ ในทางปฏิบัติทุกประเทศต่างก็ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างทุนนิยมหรือว่าสังคมนิยม โดยบางประเทศมีระบบเศรษฐกิจแบบผสมที่ค่อนข้างไปทางทุนนิยม เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และไทย ในประเทศเหล่านี้รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเอง โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคส่วนบางประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจแบบผสมที่ค่อนข้างไปทางสังคมนิยม เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนนากา โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจเน้นหนักไปทางสังคมนิยมมากว่าประเทศอื่นๆ
ไม่ว่าประเทศต่างๆ จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบใดก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด ซึ่งเป็น
กิจการได้ดำเนินงานต่างๆ ผลของการดำเนินการจะดูที่งบกำไรขากทุน และฐานะทางการเงินก็จะดูได้จากงบแดงฐานะการเงินซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่กิจการต้องมี การที่เราจะรับรู้ได้นั้นจะต้องนำรายการมาผ่านกระบวนการทางบัญชี เพื่อให้ได้รายงานทางการเงินเป็นบทสรุป ดังนั้นแล้วเราจะเป็นที่จะต้องกำหนดระยะเวลาในการสรุปในรอบเวลานั้นเรียกว่า “งวดบัญชี” เพื่อให้การดำเนินงานของกิจการได้สรุปผลออกมาและนำข้อมูลที่ได้จากรายงานทางการเงินกำหนดการบริหารในอนาคต รวมถึงการคิดค่าภาษีเงินได้ที่ต้องชำระอีกด้วย แต่มีบางรายการที่ได้เงินหรือค้างชำระตามงวดนั้นไม่ได้เป็นจริงตามระยะเวลาของงวด ซึ่งในเกณฑ์คงค้างจะต้องทำการปรับปรุงเมื่อสินงวดการปรับปรุงรายการบัญชี จะใช้ในกิจการที่ใช้เกณฑ์คงค้าง โดยการนำงบทดลองที่ได้จากการปิดบัญชีแล้วนั้นเรียกว่างบทดลองก่อนปรับปรุง หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงบางรายการที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาในงวดบัญชี เราต้องมีการปรับปรุงให้คำนึงถึงระยะเวลาไม่ต้องใช้เงินสดแต่มีความแน่นอนว่ารายการจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต รายการปรับปรุงจะต้องทำทุกสิ้นงวด หลังจากปรังปรังแล้วจะกลายเป็นงบทดลองหลังปรับปรุงก่อนที่จะไปแสดงในยอดงบกำหรขากทุนและงบแสดงฐานะทางการเงิน ซึ่งจะทำในกระดาษทำการ…
แนวทางของการศึกษาทางเศษรฐศาสตร์นั้นสามารถที่จะแบ่งแนวทางได้ 2 แนวทางใหญ่ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความจำเป็นมากเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยที่เราจำเป็นที่จะใช้จ่ายในการต้องการสินค้าและบริการเราต้องการทราวความพอใจที่ราคาต่ำสุด หลักการดังการเป็นการใช้กลัดของทางเศรษฐศาสตณืในการเข้าช่วยในการตัดสินใจ รายได้ที่ได้รับมาเท่านั้นเท่านี้ทำอย่างไรจึงจะพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการอยู่การกินทั่วๆไปการศึกษาจึงสามารถที่จะทำได้ปหลากหลายอาจจะระบุตามตรงให้ได้เลยนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ลักษณะพฤติกรรมของคนและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมีความแตกต่างไปจากวิทยาศสตร์ที่สามารถทดลองออกมาได้อย่างเที่ยงตรง ทางนักเศรษฐศาสตร์เองนั้นจึงได้หาแนวทางในการศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยหลักใช้ทางคือ วิธีอนุมาน …
สำหรับแขนงของวิชาเศรษฐศาสตร์ได้บางตามหน่วยของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถที่จะครอบคลุมทั้งระดับเล็กสุดของตัวบุคคลและระดับประเทศชาติ ซึ่งการศึกษาและการแก้ไขปัญหามีความแตกต่างกัน คนที่จะศึกษาเศรษฐศาสตร์นั้นจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นเรื่องของบุคคลก็จะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของตัวเอง รายจ่ายที่ใช้ชีวิตประจำวัน การแลกเปลี่ยนและอื่นๆ สำหรับเรื่องในระดับประเทศเกี่ยวกับการเก็บภาษี การค้าระหว่างประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงมีการแบ่งออกเป็นสองแขนงได้แก่1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro Economics) สำหรับการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้นเป็นการศึกษาตั้งแต่ในระดับตัวบุคคลเป็นหน่วยย่อย รวมไปถึงการศึกษาพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มและละบุคคลในการบริโภคในการซื้อของแต่ละชนิด สามารถที่จะราคาสินค้าและปัจจัยการผลิตในการดำเนินการของตลาดของผู้ผลิต การกำหนดปัจจัยการผลิต …
ในการดำเนินชีวิตในประจำวันนั้นมีการใช้ชีวิตที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่พื้นฐานของเรา อารใช้ปัจจัยสี่ในการใช้ชีวิต โดยเฉพราะการใช้จ่ายอย่างไรให้เพียงพอและสามารถเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสำหรับคนที่ใช้จ่ายอย่างไร ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางผู้ผลิตจึ้งต้องทราบก่อนที่จะผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด ซึ่งทราบกันดีว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัดอย่างไรจึงทำให้เกิดวิชาศึกษาเศรษฐศาสตร์ขั้นมา และปัญหาพื้นทางเศษฐกิจนั้น แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านจุลภคและด้านมหาภาค1. ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค ได้แก่– จะผลิตอะไร จะผลิตอะไรบ้างให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัรดแต่มีวัตถุดิบที่ใช้ผลิตมีจำกัด–…
อุปสงค์ คือ การเสนอเลือกซื้อสินค้าในปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการ ในราคาต่างๆ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง มีความต้องการจงใจที่จะซื้อ และความสามารถที่จะซื้อในช่วงเวลานั้นดังนั้นแล้วจึงเป็นความต้องการที่สามารถ ซื้อได้จริงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะต้องมีความต้องอย่างและมีเงินที่จะจ่ายได้ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์การที่ผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในชระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง จะมีมากน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ราคาสินค้าชนิดนั้นระดับรายได้ของผู้บริโภคราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อรสนิยของผู้บริโภคจำนวนประชากรการโฆษณาช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล เป็นต้น สำหรับปัจจัยดังกล่าวสามารถที่จะอธิบายได้ดังนี้ราคาสินค้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อผู้บริโภค …
สำหรับในวิชาเศรษฐศาสตรแล้วนั้นคงต้องมีความควบคู่กับระหว่างอุปสงค์และอุปทานเสมอ ดังนั้นแล้ว อุปทานก็คือ ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ขายต้องการเสนอขาย ในระดับราคาต่างๆ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ ก็คือความต้องการขายหรือทางเสนอขายของผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการนั้นเองปัจจัยที่กำหนดอุปทาน1. ราคาสินค้าสินนั้น (Px)2. ราคาปัจจัยการผลิต(Py)3. ต้นทุนการผลิต (C)4. เทคโนโลยีการผลิต (T) ราคาสินค้าชนิดนั้น หากราคาสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าชนิดนั้นมีความต้องการขายสินค้ามากขึ้นด้วย และหากสินค้าชนิดนั้นลดลงผู้ขายต้องการที่จะขายสินค้าชนิดนั้นลดลงเช่นกัน สรุปคือไปตามขนาดกับราคาสินค้านั้นเองราคาปัจจัยการผลิต มีทิศทางตรงกันข้ามนั้นก็คือถ้าปัจจัยการผลิตสินค้ามีมากขึ้นหรือว่าราคาสูงขั้นก็จะทำให้มีความต้องการสินค้านั้นลดลงเพราะว่าจะทำให้ผู้ผลิตนั้นมีกำไรลดลงแต่หากปัจจัยการผลิตสินค้าลดลงก็จะทำให้ความต้องการขายสินค้าเพิ่มากขึ้นด้วยต้นทุนการผลิต สำหรับต้นทุนการผลิตหากต้นทุการผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีความต้องการขายสินค้าลดลงและหากต้นทุนการผลิตต่ำลงเทคโนโลยีการผลิต …