การวัดมูลค่าคือการกำหนดจำนวนที่เป็นตัวเงินเพื่อรับรู้องค์ประกอบของงบการเงินในงบดุลและงบกำไรขาดทุนการวัดมูลค่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกใช้เกณฑ์ในการวัดค่าต่างๆในสัดส่วนที่แตกต่างกันในลักษณะที่ไม่เหมือนกันซึ่งเกณฑ์ในการวัดค่าต่างๆมีดังต่อไปนี้
1.ราคาทุนเดิน (HistoticalCost) หมายถึง
1.1การบันทึกสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่จ่ายไปหรือ
1.2บันทึกด้วยมูลค่ายุติธรรมของสิ่งที่นำไปแลกสินทรัพย์มา ณเวลาที่ได้มาซึ่งสินทรัพย์นั้น
1.3การบันทึกหนี้สินด้วยจำนวนเงินที่ได้รับจากการก่อภาระผูกพันหรือ
1.4บันทึกด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่คาดว่าจะต้องจ่ายเพื่อชำระหนี้สินที่เกิดการดำเนินงานตามปกติของกิจการ
2.ราคาทุนปัจจุบันหมายถึง
2.1การแสดงสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่ต้องจ่ายในขณะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ชนิดเดียวกันหรือสินทรัพย์ที่เท่าเทียมกัน
2.2การแสดงหนี้สินด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่ต้องใช้ชำระผูกพันในขณะนั้น
3.มูลค่าที่จะได้รับหมายถึง
3.1 การแสดงสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่อาจได้มาในขณะนั้นหากกิจการขาย
สินทรัพย์โดยใช่การบังคับขาย
3.2 การแสดงหนี้สินด้วยมูลค่าที่ต้องจ่ายคืนหรือด้วยจำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่คาดว่าจะต้อง
จ่ายเพื่อชำระหนี้กินที่เกิดจากการดำเนินงานตามปกติ
4.1 การแสดงสินทรัพย์ด้วยมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคตซึ่งคาดว่าจะได้รับในการ
ดำเนินงานตามปกติของกิจการและ
4.2 การแสดงหนี้สินด้วยมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดจ่ายสุทธิซึ่งคาดว่าจะต้องจ่ายในการชำระเงินสินภายใต้
การดำเนินงานตามปกติของกิจการ
แนวคิดเกี่ยวกับทุนและการรักษาระดับทุน
ทฤษฏีแนวคิดเกี่ยวกับทุนและการรักษาระดับทุนเป็นแนวคิกทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งแม่บทการบัญชีนำมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลกำไรโดยพิจารณาส่วนของทุนของกิจการ
1.แนวคิดเกี่ยวกับทุน
แนวคิดเกี่ยวกับทุนเป็นแนวคิดทางการเงินที่ใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบันและแนวคิดทางการผลิตซึ่งทั้ง 2แนวคิดถูกใช้เป็นแนวทางในการจัดการงบการเงินโดยนำแนวคิดเกี่ยงกับทุนที่เหมาะสมมาใช้ในการจัดทำงบการเงินโดยคำนึงความต้องการของผู้ใช้งบการเงินเป็นหลักโดย
แนวคิดที่กิจการควรนำมาใช้ | เมื่อผู้ใช้งบการเงินให้ความสนใจเกี่ยวกับ |
---|---|
1. แนวคิดทางการเงิน | 1. การรักษาระดับของทุนที่ลงไปในรูปของตัวเงินหรือในรูปของอำนาจซื้อ |
2. แนวคิดทางการผลิต | 2. กำลังการผลิตที่กิจการสามารถใช้ในการผลิต |
แนวคิดเกี่ยวกับการรักษาระดับทุนให้ความสำคัญคำนิยามที่กิจการกำหนดเกี่ยวกับทุนที่กิจการต้องการรักษาระดับซึ่งเป็นการเชื่อมโยงแนวคิดเกี่ยวกับทุนกับกำไรเพื่อกำหนดจุดอ้างอิงในการวัดผลกำไรซึ่งแนวคิดนี้ใช้เป็นพื้นฐานในการจำแนกความแตกต่างระหว่าง
2.1 ผลตอบแทนจากการลงทุน(ซึ่งเป็นผลตอบแทนเกินทุนที่ลงไป)
2.2 ผลที่ได้รับจากเงินลงทุน (ซึ่งเป็นผลที่ได้รับไม่ว่าจะเกินทุนหรือไม่)
ซึ่งแนวคิดนี้กำหนดว่ากำไรคือการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์เฉพาะส่วนที่เกินกว่าจำนวนเงินที่จำเป็นในการรักษาระดับทุนซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนดังนั้น
กำไรคือจำนวนคงเหลือจากรายได้หักค่าใช้จ่าย (ซึ่งรวมรายการปรับปรุงเพื่อรักษาระดับทุนตามที่ควร)
ขาดทุนคือจำนวนคงเหลือหากค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ (ซึ่งรวมรายการปรับปรุงเพื่อรักษาระดับทุน)
กิจการได้ดำเนินงานต่างๆ ผลของการดำเนินการจะดูที่งบกำไรขากทุน และฐานะทางการเงินก็จะดูได้จากงบแดงฐานะการเงินซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่กิจการต้องมี การที่เราจะรับรู้ได้นั้นจะต้องนำรายการมาผ่านกระบวนการทางบัญชี เพื่อให้ได้รายงานทางการเงินเป็นบทสรุป ดังนั้นแล้วเราจะเป็นที่จะต้องกำหนดระยะเวลาในการสรุปในรอบเวลานั้นเรียกว่า “งวดบัญชี” เพื่อให้การดำเนินงานของกิจการได้สรุปผลออกมาและนำข้อมูลที่ได้จากรายงานทางการเงินกำหนดการบริหารในอนาคต รวมถึงการคิดค่าภาษีเงินได้ที่ต้องชำระอีกด้วย แต่มีบางรายการที่ได้เงินหรือค้างชำระตามงวดนั้นไม่ได้เป็นจริงตามระยะเวลาของงวด ซึ่งในเกณฑ์คงค้างจะต้องทำการปรับปรุงเมื่อสินงวดการปรับปรุงรายการบัญชี จะใช้ในกิจการที่ใช้เกณฑ์คงค้าง โดยการนำงบทดลองที่ได้จากการปิดบัญชีแล้วนั้นเรียกว่างบทดลองก่อนปรับปรุง หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงบางรายการที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาในงวดบัญชี เราต้องมีการปรับปรุงให้คำนึงถึงระยะเวลาไม่ต้องใช้เงินสดแต่มีความแน่นอนว่ารายการจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต รายการปรับปรุงจะต้องทำทุกสิ้นงวด หลังจากปรังปรังแล้วจะกลายเป็นงบทดลองหลังปรับปรุงก่อนที่จะไปแสดงในยอดงบกำหรขากทุนและงบแสดงฐานะทางการเงิน ซึ่งจะทำในกระดาษทำการ…
แนวทางของการศึกษาทางเศษรฐศาสตร์นั้นสามารถที่จะแบ่งแนวทางได้ 2 แนวทางใหญ่ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความจำเป็นมากเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยที่เราจำเป็นที่จะใช้จ่ายในการต้องการสินค้าและบริการเราต้องการทราวความพอใจที่ราคาต่ำสุด หลักการดังการเป็นการใช้กลัดของทางเศรษฐศาสตณืในการเข้าช่วยในการตัดสินใจ รายได้ที่ได้รับมาเท่านั้นเท่านี้ทำอย่างไรจึงจะพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการอยู่การกินทั่วๆไปการศึกษาจึงสามารถที่จะทำได้ปหลากหลายอาจจะระบุตามตรงให้ได้เลยนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ลักษณะพฤติกรรมของคนและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมีความแตกต่างไปจากวิทยาศสตร์ที่สามารถทดลองออกมาได้อย่างเที่ยงตรง ทางนักเศรษฐศาสตร์เองนั้นจึงได้หาแนวทางในการศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยหลักใช้ทางคือ วิธีอนุมาน …
สำหรับแขนงของวิชาเศรษฐศาสตร์ได้บางตามหน่วยของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถที่จะครอบคลุมทั้งระดับเล็กสุดของตัวบุคคลและระดับประเทศชาติ ซึ่งการศึกษาและการแก้ไขปัญหามีความแตกต่างกัน คนที่จะศึกษาเศรษฐศาสตร์นั้นจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นเรื่องของบุคคลก็จะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของตัวเอง รายจ่ายที่ใช้ชีวิตประจำวัน การแลกเปลี่ยนและอื่นๆ สำหรับเรื่องในระดับประเทศเกี่ยวกับการเก็บภาษี การค้าระหว่างประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงมีการแบ่งออกเป็นสองแขนงได้แก่1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro Economics) สำหรับการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้นเป็นการศึกษาตั้งแต่ในระดับตัวบุคคลเป็นหน่วยย่อย รวมไปถึงการศึกษาพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มและละบุคคลในการบริโภคในการซื้อของแต่ละชนิด สามารถที่จะราคาสินค้าและปัจจัยการผลิตในการดำเนินการของตลาดของผู้ผลิต การกำหนดปัจจัยการผลิต …
ในการดำเนินชีวิตในประจำวันนั้นมีการใช้ชีวิตที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่พื้นฐานของเรา อารใช้ปัจจัยสี่ในการใช้ชีวิต โดยเฉพราะการใช้จ่ายอย่างไรให้เพียงพอและสามารถเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสำหรับคนที่ใช้จ่ายอย่างไร ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางผู้ผลิตจึ้งต้องทราบก่อนที่จะผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาด ซึ่งทราบกันดีว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัดอย่างไรจึงทำให้เกิดวิชาศึกษาเศรษฐศาสตร์ขั้นมา และปัญหาพื้นทางเศษฐกิจนั้น แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านจุลภคและด้านมหาภาค1. ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค ได้แก่– จะผลิตอะไร จะผลิตอะไรบ้างให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่จำกัรดแต่มีวัตถุดิบที่ใช้ผลิตมีจำกัด–…
อุปสงค์ คือ การเสนอเลือกซื้อสินค้าในปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการ ในราคาต่างๆ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง มีความต้องการจงใจที่จะซื้อ และความสามารถที่จะซื้อในช่วงเวลานั้นดังนั้นแล้วจึงเป็นความต้องการที่สามารถ ซื้อได้จริงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะต้องมีความต้องอย่างและมีเงินที่จะจ่ายได้ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์การที่ผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในชระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง จะมีมากน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ราคาสินค้าชนิดนั้นระดับรายได้ของผู้บริโภคราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อรสนิยของผู้บริโภคจำนวนประชากรการโฆษณาช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล เป็นต้น สำหรับปัจจัยดังกล่าวสามารถที่จะอธิบายได้ดังนี้ราคาสินค้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อผู้บริโภค …
สำหรับในวิชาเศรษฐศาสตรแล้วนั้นคงต้องมีความควบคู่กับระหว่างอุปสงค์และอุปทานเสมอ ดังนั้นแล้ว อุปทานก็คือ ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ขายต้องการเสนอขาย ในระดับราคาต่างๆ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ ก็คือความต้องการขายหรือทางเสนอขายของผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการนั้นเองปัจจัยที่กำหนดอุปทาน1. ราคาสินค้าสินนั้น (Px)2. ราคาปัจจัยการผลิต(Py)3. ต้นทุนการผลิต (C)4. เทคโนโลยีการผลิต (T) ราคาสินค้าชนิดนั้น หากราคาสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าชนิดนั้นมีความต้องการขายสินค้ามากขึ้นด้วย และหากสินค้าชนิดนั้นลดลงผู้ขายต้องการที่จะขายสินค้าชนิดนั้นลดลงเช่นกัน สรุปคือไปตามขนาดกับราคาสินค้านั้นเองราคาปัจจัยการผลิต มีทิศทางตรงกันข้ามนั้นก็คือถ้าปัจจัยการผลิตสินค้ามีมากขึ้นหรือว่าราคาสูงขั้นก็จะทำให้มีความต้องการสินค้านั้นลดลงเพราะว่าจะทำให้ผู้ผลิตนั้นมีกำไรลดลงแต่หากปัจจัยการผลิตสินค้าลดลงก็จะทำให้ความต้องการขายสินค้าเพิ่มากขึ้นด้วยต้นทุนการผลิต สำหรับต้นทุนการผลิตหากต้นทุการผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีความต้องการขายสินค้าลดลงและหากต้นทุนการผลิตต่ำลงเทคโนโลยีการผลิต …